“พ่อแม่เป็นครูคำสอนคนแรกของลูก”
พ่อแม่เป็นครูคำสอนคนแรกของลูก
    คำสอนที่ว่า “พ่อแม่เป็นครูคำสอนคนแรกของลูก” เป็นคำสอนที่ท้าทายผู้ที่เป็นพ่อแม่ในยุคปัจจุบันอย่างมาก เพราะคุณพ่อคุณแม่หรือผู้ปกครอง ต้องรับเผชิญกับแรงท้าทายของสังคมปัจจุบันมากมาย เช่น การทำมาหากิน หน้าที่การงาน การหาปัจจัยเพื่อเลี้ยงดูครอบครัว ที่ยิ่งทียิ่งลำบากมากยิ่งขึ้น นอกจากนั้น ยังต้องรับผิดชอบชีวิตทางด้านศีลธรรม จิตวิญญาณ ความประพฤติ หรือชีวิตทางศาสนาของบุตรหลานของตนอีกด้วย ซึ่งคุณพ่อคุณแม่บางท่านอาจจะไม่ได้ตระหนักถึงบทบาทหน้าที่ของการเป็นครูและเป็นแบบฉบับของความเชื่อศรัทธาต่อพระเจ้าในครอบครัวของตน

    บางท่านอาจจะคิดว่าบทบาทหน้าที่ในการอบรมสั่งสอนเรื่องความเชื่อความศรัทธาเป็นหน้าที่ของวัดหรือโรงเรียน จึงปล่อยให้บทบาทหน้าที่นี้เป็นของคุณพ่อบาทหลวง ซิสเตอร์ หรือครูคำสอน ในการสอนคำสอนหรือการเตรียมตัวบุตรหลานเพื่อการรับศีลศักดิ์สิทธิ์ต่าง ๆ โดยที่คุณพ่อคุณแม่เข้ามามีส่วนร่วมในการเรียนคำสอนและการรับศีลศักดิ์สิทธิ์ของบุตรหลานแค่่เพียงการรับรู้ หรือไม่ก็จัดเตรียมเสื้อผ้า หาพ่อแม่ทูนหัว หรือมาร่วมพิธีรับศีลศักดิ์สิทธิ์ต่าง ๆ ของบุตรหลานของตนเท่านั้น

    ความเป็นจริงแล้ว บทบาทหน้าที่ของคุณพ่อคุณแม่ ไม่ได้มีเพียงแค่นี้ ความเข้าใจว่าหน้าที่ของการให้การศึกษาอบรมเรื่องศาสนาเป็นหน้าที่ของวัดและโรงเรียนเท่านั้น เป็นความคิดที่ไม่ถูกต้อง  แต่ยังมีครอบครัวจำนวนมาก ที่คุณพ่อคุณแม่หรือคุณตาคุณยายที่เอาใจใส่อบรมสั่งสอนลูกหลานของตนให้รู้จักพระเจ้า ให้สวดภาวนา ให้มาร่วมมิสซา และการเฉลิมฉลองต่าง ๆ ทางศาสนา เหล่านี้เป็นตัวอย่างเชิงบวกที่เรายังคงพบเห็นได้ ซึ่งบุคคลเหล่านี้ได้ทำหน้าที่เป็น “ครูคำสอนคนแรก” ให้กับบุตรหลานของตน

แล้วคุณพ่อคุณแม่จะเป็นครูคำสอนคนแรกให้กับบุตรหลานของตนได้อย่างไร

    หนังสือคำสอนของพระศาสนจักรคาทอลิก (CCC) ภาค 3 ข้อที่ 2223 และ 2226 ได้ให้คำแนะนำที่มีคุณค่าสำหรับผู้ปกครอง ในการทำหน้าที่สำคัญประการนี้จึงอยากให้บรรดาผู้ปกครองได้อ่าน คิดไตร่ตรอง และภาวนาวอนขอพระเจ้าให้สามารถปฏิบัติหน้าที่ศักดิ์สิทธิ์นี้ได้อย่างเข้มแข็งและทำให้บ้านเป็น “วัด” น้อย ๆ ที่จะนำมาซึ่งความรักความศรัทธาต่อพระเจ้า

    บิดามารดาเป็นผู้รับผิดชอบคนแรกในการให้การศึกษาอบรมบุตรของตน พวกเขาเป็นประจักษ์พยานยืนยันถึงความรับผิดชอบนี้ โดยการสร้างครอบครัวที่มีความอ่อนโยน การให้อภัยกัน การให้ความเคารพ ความสัตย์ซื่อ และการช่วยเหลือที่ไม่หวังผลตอบแทน ให้เป็นหลักปฏิบัติในครอบครัวของตน ครอบครัวเป็นสถานที่เหมาะสมอย่างยิ่งในการอบรมด้านคุณธรรม สิ่งนี้เรียกร้องให้ฝึกฝนการปฏิเสธตนเอง การแยกแยะถูกผิดการเป็นนายเหนือตนเอง ซึ่งเป็นเงื่อนไขที่ต้องมาก่อนเรื่องของเสรีภาพที่แท้จริงทุกอย่าง บิดามารดาควรสอนให้อยู่ในโอวาท ทั้ง "ในมิติทางด้านร่างกายภายนอก ความรู้สึกภายในและด้านจิตใจ" บิดามารดามีความรับผิดชอบอย่างเต็มที่ที่จะให้แบบฉบับที่ดีต่อบุตร โดยรู้ว่าจะทำอย่างไรที่จะให้บุตรได้รู้ถึงข้อบกพร่องของตนเองและแนะนำสิ่งที่ดีกว่า ถูกต้องกว่าให้บุตร (CCC 2223)

พ่อแม่เป็นครูคำสอนคนแรกของลูก
    “การให้การศึกษาอบรมไปสู่ความเชื่อ โดยพ่อแม่นั้น ต้องเริ่มตั้งแต่ลูก ๆ ที่ยังอยู่ในวัยเยาว์ที่สุด สิ่งนี้จะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อสมาชิกของครอบครัวต่างช่วยกันให้สมาชิกเจริญเติบโตในความเชื่อด้วยการเป็นประจักษ์พยานในการดำเนินชีวิตคริสตชนที่สอดคล้องกับพระวรสาร การสอนคำสอนในครอบครัวจะช่วยนำทางเป็นเพื่อนร่วมทาง และทำให้การอบรมสั่งสอนเรื่องความเชื่อในรูปแบบอื่น ๆ สมบูรณ์ขึ้น บิดามารดามีภารกิจที่จะสอนลูก ๆ ให้สวดภาวนาและค้นพบกระแสเรียกของเขา ในฐานะเป็นบุตรของพระเจ้า วัดเป็นชุมชนแห่งศีลมหาสนิทและเป็นหัวใจของชีวิตด้านพิธีกรรมของครอบครัวคริสตชน เป็นสถานที่พิเศษที่สอนคำสอนลูก ๆ และบิดามารดา” (CCC 2226)

    จากรายงานการทำงานด้านคำสอนของโรงเรียนต่าง ๆ ในสังฆมณฑลราชบุรี มีหลายโรงเรียนได้จัดให้มีการพบปะผู้ปกครองนักเรียนคาทอลิก เพื่อให้พวกท่านได้รับรู้งานต่าง ๆ ที่โรงเรียนได้ให้บริการแก่ลูก ๆ ของตน เปิดโอกาสให้ผู้ปกครองได้แสดงความคิดเห็น และยังมีการเชิญวิทยากรมาให้ความรู้เรื่องของคำสอน เพื่อให้ผู้ปกครองได้เรียนรู้และนำไปใช้ในการอบรมสั่งสอนบุตรหลานของตน ถ้าหากบ้าน วัด และโรงเรียนร่วมมือกัน เด็กและเยาวชนของเราจะได้รับการอบรมที่เพียงพอและทำให้คริสตชนของเราเป็นคริสตชนที่มีคุณภาพอย่างแท้จริง


    พ่อแม่ที่มองการณ์ไกล จึงสมควรที่จะทำให้บ้านเป็นวัดน้อย ๆ หรือเป็นครอบครัวศักดิ์สิทธิ์ ที่ไม่เพียงแต่ให้ปัจจัยภายนอก เพื่อให้ลูกหลานมีชีวิตอยู่เท่านั้น แต่ต้องทำให้พวกเขาเป็นคนดี เป็นคริสตชนที่ดี และเป็นนักบุญ โดยทำหน้าที่เป็นครูคำสอนคนแรกสำหรับพวกเขาตั้งแต่เวลานี้

    “ใครรักลูกต้องเฆี่ยนบ่อย ๆ ใครอบรมลูกเคร่งครัด จะได้รับคุณประโยชน์” (บสร.30:1-2)

       “การเป็นประจักษ์พยานชีวิตคริสตชนที่บิดามารดาแสดงให้เห็นในครอบครัว ส่งผลให้ลูก ๆ รู้จักความนุ่มนวลอ่อนโยนและรู้จักเคารพบิดามารดา เด็กสำเหนียกและชื่นชมชีวิตอันสนิทสัมพันธ์กับพระเจ้าและกับพระเยซูเจ้า ที่บิดามารดาแสดงออกมาให้เห็นชัดเจนตลอดชีวิต

    การปลุกจิตสำนึกด้านศาสนาในวัยเด็กแบบนี้ เกิดขึ้นภายในครอบครัว เป็นสิ่งที่ไม่มีอะไรมาทดแทนได้ เรื่องนี้จะได้รับการเสริมพลังให้มั่นคง ก็ต่อเมื่อมีการเอาใจใส่อธิบายถึงเนื้อหาในด้านคริสตชนหรือด้านศาสนาของเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่จัดขึ้นในบ้าน โอกาสงานฉลองบางอย่างของครอบครัว ยิ่งวันจะช่วยให้ซาบซึ้งมากขึ้นเวลาที่บิดามารดาอธิบายคำสอนตามหลักวิชาการมากยิ่งขึ้น พวกลูกจะได้เรียนรู้ในกลุ่มคริสตชน และช่วยพวกเขาให้รู้จักปรับใช้ตามความเหมาะสม อันที่จริงการสอนคำสอนในครอบครัวเป็นการเบิกทางช่วยเหลือ และทำให้การสอนคำสอนในรูปแบบต่าง ๆ ได้ผลสมบูรณ์ดีขึ้นด้วย”(คู่มือแนะแนวทั่วไปสำหรับการสอนคำสอน GDC 226)