ข. พระคัมภีร์และคำสอน   
1. บทอ่านที่หนึ่ง
         เตือนเราว่าดวงตาของพระเจ้านั้นจับจ้องไปยังบุคคลที่มีความยากลำบากเป็นพิเศษ ทรงเอาใจใส่โดยเฉพาะบุคคลที่ท้อแท้ คนตาบอด คนหูหนวก คนพิการ พระองค์ทรงให้กำลังใจ “จงมานะเถิด อย่ากลัวเลย”

2. บทสดุดี (สดด 146)
         เป็นบทขับร้องเพื่อขอบพระคุณพระเจ้าและขอให้เราทุกคนชื่นชมยินดีเพราะพระเจ้าทรงรักษาคำมั่นสัญญาและทรงช่วยเราเสมอ

3. บทอ่านที่สอง
        น.ยากอบ อัครสาวกได้ให้หลักการพื้นฐานและท้าทายเราเรื่องของความยุติธรรมในสังคม ท่านประกาศให้คริสตชนทุกคนอย่าลำเอียงหรือมีสองมาตรฐานในการปฏิบัติระหว่างคนร่ำรวยกับคนยากจนจน
4. พระวรสาร
       ได้เล่าเรื่องที่พระเยซูเจ้าทรงกระทำตามที่ประกาศกอิสยาห์ได้ทำนายไว้ พระองค์ทรงทำอัศจรรย์ช่วยเหลือคนหูหนวกให้ได้ยิน คนตาบอดได้เห็น ความพิการนี้เป็นสัญลักษณ์ของการเจ็บป่วยภายในหรือฝ่ายจิตใจ เป็นความมืดบอดต่อความต้องการของเพื่อนพี่น้อง การไม่ยอมรับฟังเสียงของพระเจ้า การไม่ยอมสรรเสริญและการขอบพระคุณพระเจ้า โดยผ่านทางเรื่องอัศจรรย์นี้ น.มาระโกเตือนใจเราว่าคนที่จะเป็นศิษย์พระคริสต์อย่างแท้จริงนั้นจะต้องเป็นบุคคลที่ยื่นมือออกไปช่วยเหลือคนที่มีต้องการมากที่สุดเหล่านี้

ค. ปฏิบัติ                

        1. “เราต้องช่วยพระเยซู” ในการรักษาคนหูหนวดคนใบ้คนตาบอดในชุมชนของเรา พระเยซูเจ้าทรงสัมผัสเราเพื่อให้เราได้ออกไปสัมผัสบุคคลอื่นๆอีกมากมายที่มีความต้องการฝ่ายจิตใจ เหมือนบรรดานักบุญและมิชชันนารีจำนวนมากที่เดินทางมาประกาศข่าวดีให้พวกเราได้รู้จักและสัมผัสกับพระองค์ เช่น น.ฟรังซิส เซเวียร์ น.เทเรซา แห่งพระกุมารเยซู น.เทเรซาแห่งกัลกัตตา ให้เราออกไปสัมผัสกับคนยากจน คนเจ็บไข้ได้ป่วย คนที่ต้องทนทุกข์ทรมาน คนที่อยู่โดดเดี่ยว

        2. “ยอมรับการเยี่ยวยา” ความมืดบอดทางจิตใจของเรา บางครั้งเราเองกลับเป็นคนที่ตาบอดหรือหูหนวกต่อความต้องการของคนอื่น ขาดความรักความเห็นอกเห็นใจผู้อื่น หรือกำลังสรวนอยู่กับหน้าที่การงาน การทำมาหากิน จนไม่มีเวลาที่จะรับฟังเสียงของพระเจ้า ไม่มีเวลาสวดภาวนา อ่านพระคัมภีร์ การเรียนคำสอน หรือการปฏิบัติตามบทบัญญัติของพระเจ้าและของพระศาสนจักร จึงขอให้เราเปิดใจต้อนรับพระองค์ ให้ความรักของพระองค์ช่วยชำระจิตใจของเรา และเปลี่ยนจิตใจของเราให้เป็นเสมือนจิตใจของพระองค์

เรื่องเล่าประกอบบทเทศน์ "ฤๅษีผู้ต่ำต้อย" ผู้เปิดตามืดบอด
            ในวันระหว่างอาหารเช้าของวันที่ 2 กุมภาพันธ์ 1984 วันภาวนาแห่งชาติของประเทศสหรัฐฯ นายโรนัลด์ เรแกน อดีตประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา ได้เล่าเรื่องนี้ ฤๅษีผู้ต่ำต้อย "เธเลมาชุส มรณะสักขีที่ได้ยอมอุทิศตนตามอุดมการณ์ของคริสตชนเพื่อเปิดดวงตาที่มืดบอดและหูที่หนวกของชาวโรมันและจักรพรรดิ คริสตชน “โฮโนรีอุส” ในศตวรรษที่ 5 ตามท้องเรื่องแล้ว ฤๅษีชาวตุรกีคนนี้ได้ยินเสียงกระตุ้นจากภายในให้เดินทางไปกรุงโรมเพื่อหยุดประเพณีความโหดร้ายและความไร้มนุษยธรรมของบรรดานักต่อสู้ เขาได้ติดตามฝูงชนไปยังโคลีเซียม สถานที่นักสู้สองคนกำลังต่อสู้กัน เขาได้กระโดดลงไปยืนระหว่างนักฆ่าทั้งสองและห้ามพวกเขาให้หยุดการฆ่ากัน โดยตะโกนว่า "ในพระนามของพระเยซูคริสต์ จงหยุดเดี๋ยวนี้" นักสู้ทั้งสองได้หยุดการต่อสู้ แต่บรรดาผู้ชมต่างโกรธเคือง คนกลุ่มหนึ่งได้กระโดดลงมาหาเขาและได้ทุบตีเขาจนตาย เมื่อฝูงชนได้เห็นความกล้าหาญของฤๅษีผู้ต่ำต้อยนี้นอนตายจมกองเลือด พวกเขาต่างนิ่งเงียบ และพากันเดินออกจากสนามต่อสู้นั้นทีละคนสองคนจนไม่เหลือใครอีก  สามวันต่อมา เนื่องมาจากข่าวการพลีชีวิตของวีรบุรุษ "เธเลมาชุส" พระมหาจักรพรรดิได้ประกาศยกเลิกเกมฆ่าคนนี้ โดยไม่ให้มีการจัดขึ้นอีกต่อไป"

             พระวรสารในวันนี้ได้เล่าเรื่องอัศจรรย์การรักษาคนหูหนวกเป็นใบ้ให้หาย เราได้รับเชิญให้เปิดหูเปิดตา ให้เราได้พูดและภาวนาเพื่อให้พี่น้องคริสตชนของเราได้มีความเชื่อมั่นที่จะเป็นเสียงให้กับคนที่ไร้สิทธิไร้เสียง ในพิธีศีลล้างบาป เราเรียกว่า "การภาวนาเอฟฟาธา" ที่นำมาจากพระวรสารในวันนี้ ประธานในพิธีจะสัมผัสหูและริมฝีปากของผู้รับศีลล้างบาปและภาวนาว่า "ข้าแต่พระเยซูเจ้าโปรดช่วยให้คนหูหนวดได้ยินและคนใบ้พูดได้ โปรดสัมผัสหูของท่านเพื่อจะได้รับฟังพระวาจาของพระองค์และสัมผัสปากของท่านเพื่อจะได้ประกาศความเชื่อ"