DOMUS NOVA IN ANTIQUA SEDE

 

ย้อนอดีต ชีวิตเณรบางนกแขวก

 
                ก่อนอื่นขอย้อนกลับไปสมัยที่พระคุณเจ้าคาเร็ตโตได้ย้ายเณรบางนกแขวกไปอยู่ที่บ้านเณรใหม่ที่ราชบุรีเมื่อ ค.ศ. 1959 แล้วหลังจากนั้นบ้านเณรที่บางนกแขวกก็ถูกรื้อถอนไปเหลือแต่ถ้ำแม่พระอยู่ริมแม่น้ำ สภาพพื้นที่ก็เปลี่ยนไปตามความเจริญที่มีถนนตัดผ่าน ผู้คนที่ผ่านไปมาก็ได้แต่รู้ว่าที่ตรงนี้เคยเป็นบ้านเณร หลักฐานเหลือเพียงพื้นปูนกับกองอิฐอยู่บางแห่งนานกี่สิบปีก็ไม่ทราบได้ แต่มายุคหลัง ๆ นี้พระคุณเจ้าสิริพงษ์ จรัสศรี ท่านเคยพูดความหวังอยากให้มีอะไรสักอย่างเป็นตึกก็ได้ ให้รู้ว่าตรงนี้เคยเป็นบ้านเณรบางนกแขวก

                สุดท้ายอาจารย์พิบูลย์ ยงค์กมล ท่านสานฝันให้เป็นความจริงโดยสร้างตึกใหม่รูปร่างเหมือนบ้านเณรเก่า แม้สร้างได้เพียงตึกยาวตึกเดียวเนื่องจากมีพื้นที่จำกัด ประสานงานกับทางสังฆมณฑลราชบุรีเป็นที่รู้เห็นกันและใช้ประโยชน์เป็นศูนย์อบรมได้แล้วในปัจจุบัน

                คุณโน้ต จิรายุทธ กลิ่นสวัสดิ์ เขาเลยมีความคิดว่าน่าจะมีใครสักคนออกมาเล่าเรื่องราวชีวิตเณรบางนกแขวกในสมัยนั้นให้คนรุ่นหลังได้รับรู้กันบ้าง ก็เลยหันซ้ายหันขวาไม่รู้ว่าหันอีท่าไหนมาเจอผมพอดี เลยขอให้ผมรับหน้าที่นี้ในฐานะที่สามารถอยู่บ้านเณรบางนกแขวกถึง 5 ปีแล้วยังอุตส่าห์ดั้นด้นไปอยู่บ้านเณรที่ราชบุรีได้อีกตั้ง 3 เดือนถือว่ามีข้อมูลฉายภาพซ้ำในอดีตได้พอสมควร

                ต้องขออนุญาตไว้ตรงนี้ก่อนว่าเรื่องราวบางตอนจำเป็นต้องเอ่ยชื่อ ไม่ว่าจะเป็นบรรดาพระสงฆ์ที่เคยอยู่ที่บ้านเณรซึ่งตอนนี้น่าจะเหลือคุณพ่อสมบูรณ์ แสงประสิทธิ์ ท่านเดียว ส่วนรุ่นพี่ รุ่นเพื่อน รุ่นน้องนั้น วันเวลามันผ่านไปเกือบ 70 ปี หลายท่านเป็นพระสงฆ์ไปแล้ว ส่วนพวกที่กระแสเรียกหมดก็กระจายกันไป เห็นกันบ้าง ส่วนมากจะไม่ค่อยเห็นกัน แล้วก็อีกส่วนหนึ่งคือผู้ที่จากโลกนี้ไป แล้วก็ด้วยความเคารพต่อดวงวิญญาณของทุกท่านว่าขอเอ่ยชื่อเพราะท่านอยู่ในเหตุการณ์นั้นด้วย

เริ่มชีวิตบ้านเณร


               สมัยก่อนไม่มีค่ายกระแสเรียก การเข้าบ้านเณรก็เลยเป็นแบบใครแบบมัน คุณพ่อสมบูรณ์ แสงประสิทธิ์เคยเล่าว่าตอนนั้นเรียนอยู่ ม.5 โตแล้ว พระคุณเจ้าปาซอตตีบอกว่าให้ไปเที่ยวบ้านเณร ท่านก็เลยนั่งเรือเณรข้ามฝั่งไป เพื่อน ๆ อยู่ริมแม่น้ำตะโกนว่า “มึงจะข้ามไปทำไม” ข้ามไปข้ามมาเลยเข้าบ้านเณรไปเลยอีกท่านหนึ่ง คุณพ่อสิทธิพล พานิชอุดม เข้าเณรที่ราชบุรี แต่วิธีการเข้าเณรก็แปลกดี ท่านเล่าว่า “เตี่ยกับแม่บนไว้เลยต้องเข้าเณร” อยู่ไปอยู่มาได้บวชอีกเลยกลายเป็นพระสงฆ์แก้บนไปเลย เพื่อน ๆ เข้าบ้านเณรกันยังไงไม่รู้ ส่วนผมจบ ป.4 แล้วประมาณต้นเดือนพฤษภาคม ก่อนเปิดเรียนแม่ก็พายเรือพาผมไปส่งไว้ที่บ้านเณร ผมก็หิ้วกระเป๋าไปที่บ้านเณรหน้าตาเฉยแบบไม่รู้ว่าต้องทำยังไง ก็พอดีมีเณรใหญ่คนนึงพาผมไปหาคุณพ่ออธิการ ต่อมาจึงรู้ว่าเป็นครูเณรชื่อชลอ วรรณประทีป คุณพ่ออธิการถามนิดหน่อยก็จบไม่เห็นได้คัดกรองอะไร ครูเณรพาผมไปให้รู้ว่าต้องนอนตรงไหนนั่งตรงไหนในห้องเรียนรวม แล้วก็บอกว่าให้ตามเพื่อน เขาทำอะไรก็ตามเขา นึกถึงสมัยนั้นเราก็ได้แต่ครับ ๆ ลูกเดียว เข้าเป็นเณรสมัยนี้เราก็จะบอกว่า ถ้าเพื่อนเข้าห้องน้ำผมต้องเข้าตามไหมครับ พวกเณรสบายสองอย่าง ซักเสื้อผ้ากับกินข้าวมีซิสเตอร์กับพวกแม่ครัวทำให้ ครูเณรมาเขียนเบอร์ที่เสื้อและกางเกงทุกตัว บอกว่าส่งไปซักแล้วกลับมาให้ดูเบอร์ของตัวเองของใครของมัน ผมจำได้ว่าได้เบอร์ 49 ตอนที่ออกจากเณรไปหลายสิบปีแล้วนึกได้ เอาเบอร์นี้ไปซื้อหวย กินเรียบเลยครับ พวกเณรที่เข้าปีแรกจะมีพฤติกรรมเหมือนกันคือ เด๋อ ๆ ด๋า ๆทำอะไรไม่ค่อยถูก แต่ก็ดีอย่างที่มีรุ่นพี่ช่วยบอกช่วยดูแลรุ่นน้องคุณพ่อสุรินทร์ ชุนฟ้ง เป็นรุ่นพี่ที่เอาใจใส่รุ่นน้องดีมากเลย เคยสอนผมให้จัดหนังสือสมุดอะไรต่าง ๆ ในโต๊ะส่วนตัวในห้องเรียนรวม คุณพ่อสุรินทร์สอนผมให้ใช้ระบบซุกกิ้งคือหนังสือสมุดอะไรที่สวยงามก็เอาไว้ข้างหน้าให้มองเห็น ส่วนที่ไม่น่าดูให้จับซุกไว้ข้างในไม่ให้มองเห็น เป็นระบบที่รุ่นพี่สอน สุดยอดมากเลย ครูเณรหรือใครมาตรวจก็ผ่านแน่นอนระบบพี่สอนน้องคิดว่าเป็นระบบที่ดีอย่างหนึ่งในบ้านเณรเลยนะครับ

 

 

 

การเรียนภาคบังคับของเณร


            อย่างแรกเณรจะต้องเรียนภาควิชาทั่วไปโดยต้องข้ามฝั่งไปเรียนที่โรงเรียนดรุณานุเคราะห์ ปีการศึกษาจะเริ่มกลางเดือนพฤษภาคม เรียน 3 เทอม ๆ ละ 3 เดือน แต่ละเทอมจะมีการสอบด้วย แต่จะถือเอาผลสอบปลายปีเป็นตัวตัดสิน ใช้คะแนนรวมทุกวิชาเป็นตัวตั้งและรวมคะแนนทุกวิชาที่สอบ ถ้าได้ 50% เป็นต้นไปก็ได้ขึ้นชั้น   ปีต่อไปใครได้ต่ำกว่านั้นก็ต้องตกชั้น ต้องอยู่ซ้ำชั้น

 

            ตั้งแต่ ม.1 ถึง ม.6 จะมีเณรเรียนอยู่ทุกชั้น การสอบแต่ละเทอมพวกเณรจะได้ลำดับต้น ๆ แทบทุกชั้น ทำไมล่ะ? ก็เพราะเณรมีตารางเวลาแต่ละวันให้มีชั่วโมงเรียน ชั่วโมงทำการบ้าน หนีเรียนก็ไม่ได้ คะแนนสอบไม่ได้ก็ต้องไปยุบตลาดแล้วล่ะ

 

              ขอย้อนถึงการข้ามฝั่งไปเรียนสักหน่อย บ้านเณรจะมีเรือแจว 2 ลำ แจวหัวแจวท้าย ลำใหญ่ไม่มีหลังคา มีที่นั่งยาวข้างกาบเรือ คุณพ่ออธิการโปรเวราตั้งชื่อให้ว่า “เรือโนอาห์” เณรใหญ่ที่แข็งแรงจะรับหน้าที่แจวเรือ ที่จำได้ก็มีคุณพ่อชัยศักดิ์คนนึงล่ะ นอกนั้นน่าจะเป็น คุณสุรัน ชุนฟ้ง แล้วก็ ชัยยศ ต้นประเสริฐ พวกนี้จะเป็นคนแจวพายบังคับทิศทางเรือ ส่วนคนแจวหัวก็มีหน้าที่อย่างเดียว เรือแต่ละลำจะมีพายช่วยอีก 2-3 อันแต่ละวันเช้าก็ต้องแจวข้ามไปเรียน ถึงฝั่งก็แบกพายพิงไว้ที่ต้นจามจุรี ตอนเที่ยงก็แบกพายลงเรือส่งเณรข้ามฝั่งไปกินข้าวที่บ้านเณร เสร็จแล้วก็ต้องพาเณรส่งเข้าโรงเรียน บ่ายเลิกเรียนก็จะเอากลับบ้านเณร ตกลงแต่ละวันที่เรียนต้องข้ามไปข้ามมา 4 เที่ยว บางวันคุณพ่อจะข้ามไปด้วย บางทีเรือโคลงเคลงบ้าง คุณพ่อเขาก็ไม่กล้าว่า เพราะเห็นใจคนแจวคนพาย เรือโนอาห์จะหนักขึ้นทุกปี เพราะช่วงปิดเทอมไปเรือไม่ได้ใช้งาน ก็จะใช้ชันผสมน้ำมันยางอุดตามแนวเรือหนาขึ้นทุกปี

อย่างที่สอง เณรต้องเรียนภาษาละติน


              สมัยนั้นไม่ว่าจะเป็นมิสซา บทขับบทอ่านใช้ภาษาละตินทั้งหมด คนช่วยมิสซาก็ต้องตอบละติน เณรเลยต้องเรียนละติน รู้สึกส่วนตัวว่าเรียนยากคำหนึ่งแจกไปอีก 5 อย่าง ผมว่าน่าจะใช้เป็นภาษาเขียนมากกว่า แต่ละประโยคเอาคำไหนขึ้นก่อนก็ได้ เณรจะแยกเรียนตั้งแต่ชั้น ม.1 ถึง ม.6 คุณพ่อที่บ้านเณรจะเป็นผู้สอน ผู้สอนไม่พอก็ต้องใช้เณรที่จบ ม.6 ช่วยสอนจนครบห้อง สิ้นปีมีสอบด้วย บางปีมีแข่งขันตอบละตินด้วย คุณพ่อสมกิจเป็นกรรมการใหญ่ผู้เข้าแข่งขันจะเรียงตัวตอบ คุณพ่อสมกิจมีกระดิ่งกดตัวหนึ่ง ใครตอบผิดพ่อจะกดกระดิ่ง กริ๊ง! แปลว่า ตกรอบครับ ตกรอบกันไปเรื่อย ๆ จนเหลือผู้ชนะ 1 คนก็ไม่เห็นมีแจกรางวัลอะไร มีแต่เสียงตบมือ

             ขอย้อนกลับไปตอนที่ผมเข้าบ้านเณรใหม่ ๆ วันแรกต้องไปเรียนละตินร่วมกับเพื่อน ๆ ที่เข้าใหม่ปีเดียวกันนั้นอีก 7-8 คน ปรากฏว่าอาจารย์สอนคือคุณพ่อสมกิจไม่รู้ว่าท่านต้องการรับน้องใหม่หรือไม่ การเรียนวันนั้นเริ่มด้วยการนั่งฟังเทศน์ก่อน ก็นานพอสมควรแหละครับจากนั้นก็ไล่เรียงสอบถามทีละคนว่ามาเป็นเณรทำไม พวกเราก็พยายามสรรหาคำตอบให้ดีที่สุด ทุกคนจะตอบแนวเดียวกันว่าเข้าบ้านเณรเพื่อฝึกตนเอง ตั้งใจเรียน ตั้งใจรับการอบรม เพื่อสักวันหนึ่งจะได้เป็นพระสงฆ์ครับ ปรากฏว่าชั่วโมงนั้นหนังสือละตินที่จะต้องเรียนไม่ได้เปิดเลยสักหน้านึงครับ

             เหตุการณ์ปีต่อ ๆ มาเพื่อน ๆ เริ่มลืมคำพูดที่ให้ไว้กับคุณพ่อสมกิจ รู้สึกว่าจ่าเอี่ยม ค้วนเครือ จะเป็นคนแรกที่หายไปจากบ้านเณร ต่อมาอีกปี ประสิทธิ์ ตันติ ก็หายไปอีกคนแล้วก็ นิยม ภูผา ก็หายไปอีก ปีต่อมา สมชาติ ลิ้มเฉลิม ก็โล่ไปอีกคน ผมกับสนาม ผลวารินทร์ อุตส่าห์ไปถึงบ้านเณรที่ราชบุรีนึกว่าแน่ สุดท้ายก็จอดไม่ต้องแจวที่นั่น คุณวิรัช เติมนาค เขาอึดกว่าแต่ก็ไปไม่รอดอีกคน เหลือคนที่พูดแล้วทำสำเร็จคนเดียวคือ คุณพ่อดำรัส ลิมาลัย คนอื่นล้วนแต่โม้ทั้งนั้น

 

 

 

เณรมีทั้งพวกและพรรค


                 เณรจะแบ่งเป็น 2 พวก ชั้น ม.1-3 จะถูกจัดให้เป็นพวกเล็ก ชั้น ม.4-6 เณรตัวใหญ่ขึ้นก็ให้เป็นพวกใหญ่ เวลามีกิจกรรมหรืออะไรต่าง ๆ แยกกันชัดเจนรวมถึงห้ามพูดคุยกันข้ามพวกด้วยถือว่าผิดระเบียบ เณรมีหน้าที่ปฏิบัติตามอย่างเดียว ไม่ต้องไปหาเหตุผลอะไรทั้งสิ้น

                 แต่ละพวกก็ยังแบ่งเป็นกลุ่มย่อยอีกกลุ่มละ 5-6 คนเรียกว่าพรรค ให้กำหนดชื่อพรรคตัวเองได้ เช่น พรรคโดมินิก พรรคเซนต์หลุยส์ เวลามีงานฉลองก็จะกำหนดให้แต่ละพรรคเตรียมการแสดงร้องเพลงบ้าง เล่นจำอวดบ้างก็สนุกสนานดีมีอยู่ปีหนึ่งมีประกวดขับร้องเพลงศักดิ์สิทธิ์ภาษาละติน แต่ละพรรคจะส่งคนที่เจ๋งที่สุดเข้าประกวด จำได้แม่นเลยว่าคนชนะเลิศคือ คุณวิรัช เติมนาค แต่จำไม่ได้ว่าได้รางวัลอะไร รู้แต่ว่าทุกคนก็ปรบมือให้เพราะไม่ต้องลงทุนอะไรเลย

                 ธรรมเนียมห้องอาหารบ้านเณร บ้านเณรมีโรงครัวอยู่ใกล้ห้องอาหารนั่นแหละ แต่มีรั้วล้อมรอบมิดชิด ไม่มีแม้แต่ช่องให้พวกเณรมองเข้าไปได้เลย ซิสเตอร์กับแม่ครัวหน้าตาเป็นยังไงไม่มีโอกาสรู้เลย อีกทั้งหน้าโรงครัวเป็นเขตหวงห้ามไม่ให้เณรไปป้วนเปี้ยนแถวนั้นด้วย วิธีการส่งอาหารจะส่งผ่านตู้หมุน มีคนยกอาหารชื่อลุงมุ้ย ขนอาหารทุกอย่างไปที่ห้องอาหาร สมัยอยู่บ้านเณรก็ไม่นึกอะไรเดี๋ยวนี้จึงรู้ว่าเป็นหนี้บุญคุณผู้ปิดทองหลังพระพวกนี้ หุงข้าวให้เรากินไม่รู้กี่กระสอบ แถมซักเสื้อผ้าให้ด้วย ขอพระเจ้าตอบแทนร้อยเท่าพันทวี น่าจะอยู่สวรรค์กันหมดแล้วมั้ง ทุกคนในบ้านเณรทานอาหารห้องเดียวกันหมด โต๊ะอาหารเป็นโต๊ะยาวจัดให้นั่งเป็นกลุ่ม กลุ่มละ 4 คนสมัยนั้นไม่มีตู้เย็นใช้คนโทดินเผาใส่น้ำ มีจอกคนละใบไม่ใช้แก้วน้ำ กลัวเณรทำแตกมั้ง คนที่นั่งหัวโต๊ะได้รับเกียรติให้เป็นคนตักข้าว ตักกับข้าวแจกทุกคนในโต๊ะ มื้อเย็นจะพิเศษหน่อยคือสวดเสร็จจะมีอ่านภาษาละติน ทุกคนต้องเงียบและฟังคนอ่าน โดยไม่รู้ว่าแปลว่าอะไรอ่านเสร็จจึงพูดคุยกันได้ แต่โดยมากมักไม่คุยกัน จ้องอย่างเดียว แม่ครัวทำอะไรมาไม่เคยเหลือกลับไปเลย

                 มีธรรมเนียมอย่างหนึ่งใครทำช้อนหรืออะไรตกต้องยืนกิน ตอนที่เข้าบ้านเณรใหม่ ๆ ก็ไม่รู้ธรรมเนียมนี้พอได้ยินช้อนตก หันไปดูคนทำตกต้องยืนกิน เณรเล็กทำตกไม่เท่าไหร่ บางครั้งเณรตัวใหญ่ทำช้อนตกยืนขึ้นมาสูงเด่น เพื่อน ๆ ก็อดขำไม่ได้ มีครั้งหนึ่งเราเองก็พลาดทำช้อนตก เพื่อนหันมาบอกว่าไอ้มิตรมึงโดนแล้ว มึงยืนกินซะดี ๆ เราเองก็ต้องทำตามกฎเกณฑ์ ลำบากตอนกินไม่ว่าแต่อายนี้สิ บอกไม่ถูกเลย

 

เซียนจับปลา

 

             หลังห้องอาหารมีสระน้ำธรรมชาติใหญ่พอสมควร วันหนึ่งมีการปล่อยน้ำออกจากสระ คุณพ่ออธิการให้เณรลงไปจับปลา เณรลงไปหลายคนแต่ส่วนใหญ่ยืนเชียร์อยู่ขอบสระ ผมเองลงแน่นอนเพราะเป็นเด็กชาวสวนเคยจับกุ้งจับปลามาแล้วที่บ้าน ลงไปลุยเลยสวิงไม่มี เครื่องมือจับปลาอะไรไม่มีทั้งนั้นน้ำตื้นประมาณหัวเข่า ใช้มือกับเท้าอย่างเดียวกวนกันจนน้ำขุ่นคลั่ก ปลาสร้อยปลาตะเพียนลอยหัวเมาน้ำจับสบาย ตัวเปรอะเลนกันทุกคน เราเคยจับปลาเรารู้ว่าปลาช่อนจะอึดมุดดินได้นาน ๆ ลงทุนลุยเลน งมไปเรื่อย ๆ โชคดีครับได้ปลาช่อนตัวใหญ่มาก ภูมิใจในผลงานอยากอวดเพื่อน ๆ ยืนขึ้นจับปลาช่อนสองมือโชว์ฝีมือผลงานสุดยอดปรากฏว่ากางเกงหลุดครับ ทำไงดีจะนุ่งกางเกงก็ไม่ได้สองมือจับปลาช่อนอยู่ก็ต้องเอาปลาไว้ก่อนโยนขึ้นบก ไม่มีใครเห็นใจเลยครับมีแต่ยืนขำกันทุกคน คุณพ่อดำรง กับคุณพ่อประดิษฐ์เคยเอาเรื่องนี้มาแซวผมหลายหนเลย

กีฬาของพวกเณร


              ด้านหน้าบ้านมีสนามหญ้าลงไปถึงหน้าถ้ำแม่พระที่อยู่ริมแม่น้ำ สนามมี 2 ระดับ ระดับบนติดบ้านเณรใช้วิ่งเล่นหรือทำกิจกรรมอะไรก็ได้ส่วนที่ต่ำลงไป จัดให้เป็นสนามฟุตบอล และมีสนามบาสเกตบอลอยู่ติดกัน กินเนื้อที่ของสนามบอลไปหน่อยนึงด้วย เณรพวกเล็กพวกใหญ่ผลัดกันใช้สนาม ส่วนมากจะได้ใช้เล่นในวันหยุดเพราะมีเวลาเล่นยาว ๆ เป็นชั่วโมง

              สนามฟุตบอลบ้านเณรเป็นสนามปราบเซียนครับ เส้นข้าง เส้นกลาง เส้นอะไรไม่มีทั้งนั้น ออกหรือไม่ออกก็กะกันเอาเอง บางทีก็เถียงกัน สนามเป็นสนามดิน หญ้าแทบจะไม่มี แถมยังมีต้นจามจุรีใหญ่ 2 ต้นกับต้นมะขามใหญ่อีก 1 ต้น เวลามีฝักแก่หล่นลงมา เคยแอบแกะกินเปรี้ยวน่าดูเลย เสาโกลเป็นไม้สี่เหลี่ยมแข็งแรง เณรเวลาเล่นบอลก็ต้องลงทุกคน ชอบหรือไม่ชอบก็ต้องลงไปเล่น สมัยนั้นเตะบอลเท้าเปล่าไม่มีรองเท้าเหมือนสมัยนี้ แถมลูกบอลยังเป็นแบบสูบยางในมีเชือกเย็บด้วย เวลาเล่นครูเณรบอกให้แบ่งข้าง ปรากฏว่าข้างไหนมีคนเก่ง ๆ ก็จะเฮละโลไปอยู่ข้างนั้น ครูเณรต้องแบ่งใหม่ให้สูสีกัน เณรไม่ใช่ว่าจะเล่นบอลเป็นทุกคน ทีมเวิร์คไม่ต้องพูดถึง บอลมาก็เตะไปฝั่งตรงข้ามอย่างเดียวบางคนหนักเข้าไปอีกหันหน้าไปทางไหนก็เตะทางนั้นแหละแต่ก็มีเณรที่เล่นเก่ง ๆ ที่จำได้คนที่เลี้ยงบอลเก่งที่สุดคือ คุณพ่อดํารัส ลิมาลัย จะมีวิธีเลี้ยงหลบซ้ายหลบขวา คู่ต่อสู้จับทางไม่ถูก ถ้าคู่ต่อสู้เข้ามาหลายคน คุณพ่อดํารัสจะเลี้ยงบอลรอบต้นมะขามเลย อาศัยรากต้นมะขามที่โผล่เหนือดินกันคู่ต่อสู้ด้วย คุณพ่อดำรัสอยู่หลังต้นมะขามคนแย่งก็งง ไม่รู้ว่าจะออกมาซีกไหน อีกคนหนึ่งที่ถือว่าเก่งคือ คุณพ่อสุรินทร์ ชุนฟ้ง จะใช้วิธีเตะบอลไปข้างหน้าไกล ๆ อาศัยวิ่งเร็วไปเอาบอลก่อนใคร บางทีก็เตะแรงเกินไปตามบอลไม่ทันก็มี อีกคนนึงครับตำแหน่งกองหลังสายฟ้าฟาด คุณพ่อวิจิตร สัตย์สมบูรณ์ ครับ เตะหนักอย่างเดียวไม่ต้องมีทิศทาง ให้ลูกบอลห่างประตูตัวเองไว้ก่อน บางคนเลี้ยงบอลมาไม่ดูให้ดีเจอคุณพ่อวิจิตรเข้าต้องโดดหลบกันเป็นแถว

                พวกใหญ่ที่เล่นบาสเก่ง ๆ ก็มีอาจารย์ประวัติ วรรณประทีป ตัวสูงกว่าคนอื่น อีกคนหนึ่งคือ คุณพ่อชัยศักดิ์ ตัวใหญ่แข็งแรงทางโรงเรียนดรุณานุเคราะห์เคยเอาสองคนนี้เป็นนักกีฬาบาสของโรงเรียน เวลาแข่งกับโรงเรียนอื่นก็ชนะสบายเณรรุ่นต่อมาที่เล่นบาสเก่งก็มี สมชาติ ลิ้มเฉลิม เขาชอบกีฬาบาสมาก ครั้งหนึ่งคุณพ่ออธิการเอาหนังมาฉายเป็นทีมฮาร์เล็มนักบาสสหรัฐเล่นลวดลายต่าง ๆ หลอกล่อ คู่ต่อสู้หัวปั่น ปรากฏว่านายสมชาติติดใจ ว่างไม่ได้ต้องเอาลูกบาสมาหมุนที่นิ้ว หมุนรอบตัวบ้าง ทำแบบพวกนักบาสฮาร์เล็ม คุณพ่อสมกิจมาเห็นเลยโดนเอ็ดว่าไม่ใช่เวลาเล่นให้ไปทำงาน สมชาติเลยกลายเป็นนักบาสเก่งในตอนนั้น เวลามีแข่งสมชาติก็จะเป็นดาราพาทีมชนะทุกครั้งเลย

 

แสตมป์พ่อซาโบ


              คุณพ่อซาโบ เป็นชาวเช็กโก-สโลวาเกีย ท่านเป็นรองอธิการอยู่ช่วงนึง ท่านเป็นคนจัดหาของใช้ต่าง ๆ ให้กับเณรใครขาดอะไร ต้องการของใช้อะไรก็ไปเบิกที่คุณพ่อซาโบ วันหนึ่งผมเห็นจดหมายจากประเทศเช็กติดแสตมป์สวยมากเลยแวะเวียนไปหาคุณพ่อขอแสตมป์ ท่านก็ใจดีให้ผมมา 2 ดวง ดีใจมากเลยไม่เคยเห็นแสตมป์ต่างประเทศ ภูมิใจที่ขอมาได้ เก็บไว้ในโต๊ะเรียนส่วนตัว ว่างก็เอาขึ้นมาชื่นชม มีอยู่วันนึงในห้องเรียนรวม ทำการบ้านเสร็จก็เอาแสตมป์ขึ้นมาชื่นชมปรากฏว่ามีครูเณรมายืนข้างหลังผมเมื่อไหร่ไม่รู้ มายึดแสตมป์ผมไปหมดเลย ครูเณรท่านนั้นชื่อ วงศ์สวัสดิ์ แก้วเสนีย์ ผมไม่รู้จะทำยังไง ขัดขืนก็ไม่ได้ ได้แต่เศร้าทำตาปริบ ๆ แล้วก็รอว่าเมื่อไหร่ครูเณรจะเอาแสตมป์มาคืนผมสักที รอจนไม่รู้จะรอยังไงแล้ว คิดดูสิจนเดี๋ยวนี้เกือบจะ 70 ปีแล้ว ยังไม่มาคืนผมเลย

 

 

วงแตรเณร


              ตอนที่ผมอยู่บ้านเณร คุณพ่อที่คุมวงแตรเณรมี 2 ยุค ยุคแรกคุมวงโดยคุณพ่อสมกิจ ท่านเก่งดนตรีพอสมควร เห็นจากท่านสอนขับประสานเสียงและวงแตรไม่ใช่เรื่องง่าย เครื่องเป่าแต่ละอย่างไปคนละเสียง แต่ผสมกันเป็นบทเพลงที่ไพเราะ วงแตรเณรเล่นกันเฉพาะในบ้านเณรที่พอจำได้มีสำราญกับวิสุทธิ์เป่าทรัมเป็ตเก่งมากเป็นเสียงนำ คุณพ่อชัยศักดิ์กับคุณพ่อวิจิตรเป่าแซก คุณพ่อสุรินทร์กับคุณวิรัชเป่าปี่ คุณพ่อวงศ์สวัสดิ์กับอาจารย์เสนาะเป่าบอมบ์ อย่างอื่นก็จำไม่ค่อยได้ เวลามีงานภายในบ้านเณร ตอนเย็นกินข้าวเสร็จก็มีเป่าแตรในห้องอาหารนั่นแหละ ดังคับห้องก็ฟังกันได้ มีงานฉลองครั้งหนึ่ง คุณพ่อชัยศักดิ์ออกไปโชว์เป่าแซกโซโฟน ไม่รู้เพลงอะไรปู้ดป้าดไปเรื่อยจนจบเพลง พอสิ้นเสียงตบมือแล้ว คุณพ่อสมกิจท่านก็บอกว่าทีหลังน่ะใครจะโชว์เดี่ยวให้ไปหัดมาให้ดีก่อน จากวันนั้นมาไม่มีใครกล้าโชว์เดี่ยวอีกเลย ยุค 2 เป็นช่วงที่คุณพ่อสมบูรณ์บวชจากโรมใหม่ ๆ มาประจำบ้านเณร ท่านเก่งดนตรีมากทำให้วงแตรบ้านเณรเฟื่องฟูขึ้นไปอีก แต่เรื่องที่คนอาจไม่รู้คือคุณพ่อเป็นนักเปียโนที่เก่งมากเท่าที่เห็นเวลามีงานบ้านเณร ที่ห้องอาหารมีเปียโนอยู่หลังนึงคุณพ่อสมบูรณ์จะโชว์เล่นเปียโนมาร์ชอากวีลาไม่ต้องดูโน้ตเลย จำได้หมดทั้งเพลง สุดยอดที่สุดในยุคนั้น

 

ความสะดวกไปไม่ถึงจึงต้องลงแม่น้ำ

             พูดถึงเรื่องน้ำประปา ไฟฟ้า โทรศัพท์ที่เป็นสาธารณะสมัยนั้นยังไม่มีครับ แต่บ้านเณรแก้ปัญหาเรื่องไฟฟ้าได้โดยติดตั้งเครื่องปั่นไฟเพราะต้องใช้ตอนกลางคืน โทรศัพท์ยังไม่มีสมัยนั้นต้องใช้จดหมาย พวกเณรส่วนใหญ่ที่ถูกส่งไปเรียนต่อที่อินเดียหรือที่โรม เขียนจดหมายมาเล่าเรื่องให้ฟัง กว่าจะมาถึงเป็นอาทิตย์สองอาทิตย์ บางฉบับลงวันที่เมื่อเดือนที่แล้ว ก็อ่านได้ถือว่าไม่ตกข่าว ส่วนเรื่องการอาบน้ำก็ธรรมชาติล้วน ๆ บ่ายแก่ ๆ หน่อยได้เวลาอาบน้ำ กระป๋องส่วนตัวคนละใบไว้ใส่สบู่ เอาเสื้อผ้าไปเปลี่ยนริมแม่น้ำ เปลี่ยนเสื้อผ้ากันโคนต้นสนหรือพุ่มไม้ตามถนัด ท่าน้ำมีเท้ง บางคนโดดลงน้ำไม่ธรรมดา ตีลังกาลงน้ำ คนที่ว่ายน้ำไม่เป็นก็อาศัยจุ่มตัวอยู่ริมตลิ่งเป็นเวลาแห่งความสุข ได้เล่นน้ำที่สะอาดไหลเย็น สมัยนั้นไม่มีมลภาวะเลย ถ้าเป็นสมัยนี้สงสัยเณรคงเป็นตาแดงกันเป็นแถว มีเรื่องเล่าต่อมาว่าสมัยที่พระสงฆ์ต่างประเทศเข้ามาอยู่กันใหม่ ๆ พูดไทยยังไม่ชัดคุณพ่ออธิการสั่งให้ไปหาบน้ำ พวกเณรได้ยินว่าให้ไปอาบน้ำเลยสนุกกันใหญ่วันนั้นเล่นน้ำเพลินไปเลย

 

เตรียมฉลองบ้านเณร


            ภารกิจสำคัญช่วงต้นเดือนธันวาคมของทุกปีคืองานฉลองบ้านเณร คณะผู้ใหญ่ของบ้านเณรก็จะมีการวางแผนเตรียมงาน เณรอย่างพวกเรามีหน้าที่ทำตามคำสั่งอย่างเดียว สมัยนั้นการขับร้องในมิสซาใช้เพลงละตินทั้งหมด คุณพ่อสมกิจเป็นคนฝึกสอน ท่านเก่งเรื่องดนตรีพอสมควร ท่านสอนขับประสานเสียงด้วย 3 เสียงเลย เณรพวกใหญ่จะแบ่งเป็นเสียงสูงเสียงต่ำ พวกเณรเล็กจะขับเสียงกลาง แต่ละเสียงจะแยกการซ้อมให้คล่องก่อนแล้วจึงมาขับร้องพร้อมกัน เวลาที่มาร่วมร้องเพลงกัน 3 เสียง พวกเณรตัวเล็ก ๆ จะอยู่แถวหน้าก็ต้องเสี่ยงอันตรายนิดหน่อยเพราะถ้าขับร้องผิดคนอยู่แถวหน้า ๆ โดนก่อนเลย ตอนนั้นเณรศักดิ์ ผลวารินทร์ เป็นคนตีหีบเพลง หีบเพลงสมัยนั้นใช้เท้าถีบลม เมื่อยมือไม่พอ เมื่อยขาด้วยซ้อมกันเป็นเดือนครับเพราะมีหลายบทเพลง

          เณรมีชื่อเสียงมากเรื่องขับร้องประสานเสียงในสมัยนั้น อ๋อ มีอีกอย่างหนึ่งคือคนที่เสียงไม่ดี ร้องไม่ค่อยได้จะถูกคัดออกให้ไปช่วยมิสซา ก็เท่ห์ไปอีกแบบนึง อีกอย่างที่ขาดไม่ได้คือการแสดงละครตอนเย็นวันฉลอง ซึ่งต้องมีการคัดตัวแสดงและซ้อมกันอย่างหนัก แต่ละตัวละครต้องท่องบทให้คล่อง แล้วก็ไปซ้อมแสดงรวมกัน ซ่อมแล้วซ่อมอีกจนผู้กำกับพอใจ อีกอย่างที่คู่กันคือมีเพลงประกอบละคร จะมีวงดนตรีเฉพาะกิจ หัวหน้าวงคือครูเช็งกิจ รุจิรัตน์ ทั้งแต่งเนื้อร้อง ทำนองและเรียบเรียงเสียงประสานในวงทั้งหมด ผมเองชอบดูวงนี้เล่นมาก เพราะปกติจะเคยเห็นแต่วงแตร แต่วงเฉพาะกิจนี้จะไม่ใช้เครื่องเป่าครับ ครูเช็งกิจจะเล่นกีตาร์โปร่งตัวเบ้อเริ่มเลย ครูนิเวจะดีดแอคคอร์เดียน ครูไพบูลย์ จวบสมัย ตีกลองชุดตุ้ง ๆ แช่ ครูมนัส บรรเลงจิตร์ กับครูอุดม รุจิรัตน์ จะดีดแมนโดลิน ซึ่งเป็นเครื่องดนตรีที่หาดูได้ยาก ที่ชอบดูมาก ๆ ก็คือการสีไวโอลินของครูสิริ พีรพันธ์ กับคุณบุญส่ง ชอบตรงทั้งสองท่านนี้สีไวโอลินคันชักขึ้นลงพร้อมกันดูเพลินจริง ๆจนแทบไม่ได้สนใจคนร้องเพลงเลย ที่บ้านเณรจะมีเวทีละครสำเร็จรูปติดตั้งรื้อถอนได้ ก่อนวันฉลองจะมีชาวบ้านมาช่วยติดตั้ง เวทีเป็นไม้ทั้งหมดตั้งแต่เสา พื้น ฉากต่าง ๆคนที่มาช่วยติดตั้งเขาชำนาญแล้วเพราะมาช่วยทุกปี

 

          ส่วนเรื่องเครื่องขยายเสียงก็ต้องถือว่าตามสภาพจริง ๆ ในสมัยนั้นมีไมค์ห้อยอยู่กลางเวที 1 ตัวแล้วก็ห้อยอยู่กลางวงดนตรีเฉพาะกิจอีก 1 ตัวเท่านั้นครับ ก่อนฉลองบ้านเณรคุณพ่ออธิการจะให้เณรเขียนจดหมายถึงแม่พระแต่ละคนก็จะเขียนไปตามความคิดของตัวเอง เป็นความลับใส่ซองสวยงาม บางคนหาแสตมป์มาติดด้วย เอาให้สวยสุดว่างั้นเถอะ ก่อนวันฉลองคุณพ่ออธิการจะให้เณรเอาจดหมายมารวมกันเพื่อเผาต่อหน้ารูปแม่พระ คุณพ่ออธิการจะเป็นคนหยิบทีละซองให้ดูแล้วอ่านจากหน้าซองก่อนใส่เตาเผา ส่วนมากก็จะเขียนว่าส่งถึงแม่พระบ้าง กรุณาส่งถึงพระแม่มารีบ้าง มีบางซองจ่าหน้าซองว่า กรุณาส่งแม่พระ ตำบลท่าสวรรค์ อำเภอสวรรค์ จังหวัดสวรรค์ พวกเณรชอบใจก็ถามกันว่าของใครวะ เจ้าของซองก็ออกอาการมีพิรุธจนเพื่อน ๆ จับได้ บางซองวาดรูปสวยงามเป็นลายดอกไม้เจ้าของซองก็ภูมิใจ มีบางซองไม่รู้ว่ารูปอะไร ดูไม่ออกเปรอะเปื้อนไปหมด คุณพ่ออธิการยังขำไม่รู้เป็นซองของใคร ทุกซองถูกเผาเรียบร้อยถือว่าเป็นกิจกรรมสร้างความศรัทธาต่อแม่พระอย่างหนึ่งในบ้านเณร

 

ฉลองบ้านเณร


               8 ธันวาคม เป็นวันฉลองบ้านเณร ชาวบ้านจะรู้กันแบบที่ว่าแทบไม่ต้องประชาสัมพันธ์อะไร ทุกอย่างจัดที่บ้านเณรทั้งหมด พวกเณรจะตื่นเต้นเป็นพิเศษเณรจะแต่งชุดสีขาวทั้งหมด พวกเณรเล็กจะนุ่งขาสั้น พวกเณรใหญ่ใส่ขายาว ผูกเน็กไทสีฟ้าด้วยครับ ตอนที่ผมเข้าบ้านเณรปีแรกผูกเน็กไทไม่เป็น คุณพ่อสุรินทร์ ซึ่งเป็นเณรรุ่นพี่สอนผูกเน็กไทแล้วก็สั่งผมว่า “บอกทีเดียวให้จำตลอดไปนะ” ได้เวลาบรรดาชาวบ้านพ่อแม่พี่น้องจะทยอยกันมา สมัยนั้นใช้เรือเป็นส่วนใหญ่ จอดกันเต็มไปหมดหน้าเท้งริมน้ำหน้าบ้านเณร ทุกอย่างพร้อมมิสซาโดยพระคุณเจ้าคาเร็ตโตในสมัยนั้น ชาวบ้านนั่งกันเต็มวัด เณรขับประสานเสียงอยู่บนเหล่าเต้งชั้นบนตลอดมิสซาซึ่งใช้ภาษาละติน ใช้เวลาทั้งหมดน่าจะชั่วโมงครึ่งเห็นจะได้ พอจบมิสซาแล้วก็น่าเห็นใจชาวบ้านสมัยนั้น ไม่มีการเลี้ยงอาหาร ไม่มีร้านค้า ชาวบ้านก็น่ารักกลับบ้านใครบ้านมัน รอตอนเย็นกลับมาดูละครอีกรอบ

              ตอนเที่ยงพระสังฆราชจะทานอาหารพร้อมกับพวกเณรในห้องอาหาร เสร็จแล้วจะมีการขอบคุณพระสังฆราช ถือเป็นธรรมเนียมทุกปี โดยการขอบคุณจะใช้เณร 3 คน แต่งเป็นฝรั่ง เป็นจีนแล้วก็ไทยออกมาขอบคุณเป็นภาษาอังกฤษ ภาษาจีน แล้วก็ภาษาไทย คุณพ่อชัยศักดิ์เป็นคนแต่งคำพูดภาษาจีน คนฟังก็ไม่รู้คำแปล คนพูดเองก็ยังไม่รู้เลยคงจะบอกว่าขอบคุณแล้วก็ขอบคุณงั้นมั้ง

              ช่วงเย็นชาวบ้านที่สนใจติดตามการแสดงละครของเณรจะทยอยกันมาจับจองที่นั่งเต็มไปหมดในสนามหน้าเวที ได้เวลาวงดนตรีเฉพาะกิจของครูเช็งกิจจะเล่นโหมโรง ม่านเวทียังปิดอยู่ พอได้เวลาก็เปิดฉากแสดงกันไป พวกเณรที่ไม่ได้แสดงละครก็นั่งเชียร์อยู่ข้างเวที ผมเองชอบไปอยู่ใกล้ ๆ วงดนตรีเพราะชอบดูเขาเล่นเครื่องดนตรีต่าง ๆ พวกรุ่นพี่ ๆ เล่นละครกันเก่งมาก แต่ละปีจะมีเรื่องละครไม่ซ้ำกันเลยซึ่งแต่งเรื่องโดยผู้ใหญ่ของบ้านเณรสืบทอดกันมาไม่รู้กี่ปีมาแล้วก็ไม่ทราบได้

             มาในยุคที่พระคุณเจ้ารัตน์ บำรุงตระกูล ประจำที่บ้านเณร ปีนั้นท่านแต่งละคร เรื่อง “ทหารเอกพระราชา” โดยใช้โครงสร้างเรื่องจากพระคัมภีร์ตอนที่ดาวิดคนเลี้ยงแกะอาสากษัตริย์ซาอูลไปปราบยักษ์โกลิอัทเป็นหัวใจของท้องเรื่อง แล้วท่านรัตน์แต่งเรื่องประกอบหัวท้ายเข้าไป เป็นที่สนุกสนานปรากฏว่าท่านเลือกให้ผมไปแสดงละครเป็นดาวิดด้วย สงสัยท่านคงเห็นรูปร่างหน้าตาผิวดำแดงเหมือนเด็กเลี้ยงแกะจริง ๆ แถมในบทละครยังต้องร้องเพลงบ้านแสนสุขที่เขียนเนื้อเพลงโดยท่านรัตน์เอง แล้วแต่งทำนองโดยครูเช็งกิจ ครูเณรวงศ์สวัสดิ์ เป็นคนสอนให้ผมร้องเพลงบ้านแสนสุข ร้องทำนองยังไง นับจังหวะยังไง เอื้อนยังไง โดยฝึกให้ร้องจนเสียงแหบแห้งเลยครับ ในเนื้อเรื่องละคร คุณพ่อชัยศักดิ์ แสดงเป็นกษัตริย์ซาอูล คุณพ่อสุรินทร์ เป็นโยนาธาน ใช้ ตนประเสริฐ เป็นยักษ์โกลิอัทแต่งตัวกลมดิ๊ก เดินแทบไม่ไหว ถูกดาวิดยิงลูกหินใส่หน้าผาก ล้มดังโครมลุกไม่ขึ้น คนต้องช่วยดึงออกนอกเวทีไป คุณพ่อชัยศักดิ์เป็นซาอูลพุ่งหอกใส่ดาวิด ดาวิดหลบทันปรากฏว่าหอกพุ่งไปโดนครูแหนงดำ เณรอีสานที่คอยกำกับการแสดงอยู่ข้างเวทียังมีเพื่อนอีกหลายคนที่ร่วมแสดงละครในครั้งนั้น มีอีกคนนึงครับที่ปิดทองหลังพระคือคุณสำราญ รำพรรณ์ จะนั่งอยู่ในช่องอุโมงค์หน้าเวทีคอยบอกบทกันพลาด เพราะบางครั้งนักแสดงตื่นเต้นจำบทไม่ได้ ก็เขานี่แหละคอยบอกบทให้ ส่วนตัวผมเองได้แสดงละครครั้งแรกในชีวิต ได้ยืนร้องเพลงบ้านแสนสุขใต้ไมค์แขวนบนเวทีร่วมกับวงดนตรีเฉพาะกิจของครูเช็งกิจ เป็นประสบการณ์ที่ไม่เคยลืมเลยในชีวิต

 

กิจกรรมช่วงปิดเทอม


               สมัยนั้นโรงเรียนดรุณานุเคราะห์เรียน 3 เทอม จบเทอมต้น เทอม 2 จะหยุดเรียนประมาณ 10 วัน ส่วนเทอมปลายจะหยุดเรียน 1 เดือนกว่า แต่ละปีนี้จะกลับบ้านได้ 7 วัน ช่วงปิดเทอมปลายบางคนกลับบ้านเกิน 7 วันเพื่อน ๆ นึกว่าคงไม่กลับบ้านเณรแล้ว วันดีคืนดีเณรคนนั้นหวนกลับบ้านเณรหน้าตาเฉย คุณพ่ออธิการก็ไม่ว่าอะไร

               ช่วงปิดเทอมเล็กคุณพ่ออธิการจะพาไปตามวัดต่าง ๆ ครั้งหนึ่งพาไปวัดท่าหว้า นั่งเรือจากบางนกแขวกไปขึ้นรถที่ราชบุรี มีรถยนต์โดยสารมารับ หลังคาเตี้ยหัวรถยื่นยาว เณรตัวใหญ่ ๆ ขึ้นรถต้องก้ม ยืนไม่ได้ หัวชนหลังคาเป็นประสบการณ์นั่งรถยนต์โดยสารเป็นครั้งแรกครับ มีอีกครั้งหนึ่งคุณพ่ออธิการพาไปวัดโคกมดตะนอย นั่งเรือไปทางคลองแพงพวย เณรรุ่นพี่บอกว่ามีแมลงทับเยอะตัวเขียว ๆ สวยมาก เราฟังแล้วก็อยากได้ ที่วัดโคกมีต้นมะขามเทศ แมลงทับชอบอยู่ เณรหาไม้ไปเขี่ย แมลงทับบินออกมาก็ไล่จับกัน ผมได้มา 1 ตัว สวยมากตัวเขียว ปีกเขียวมันระยับ ใส่กล่องไม้ขีดไว้ แล้วเอาใบมะขามเทศใส่ให้มันกินดูแลมันจนกลับไปบ้านเณร ตกลงว่าไปวัดโคกคราวนั้นไม่ได้ความรู้อะไรเลย ได้แต่แมลงทับกลับมา

               พอถึงช่วงปิดเทอมใหญ่ซึ่งตกประมาณปลายเดือนมีนาคมหยุดยาวไปเมษายนทั้งเดือนต่อด้วยพฤษภาคมอีกครึ่งเดือน เณรจะได้กลับบ้าน 7 วันจากนั้นคุณพ่ออธิการจะพาไปพักผ่อนที่หัวหิน ก็นั่งเรือจากบางนกแขวกไปขึ้นรถไฟที่ราชบุรี เณรหลายคนตื่นเต้น เพราะนั่งรถไฟครั้งแรก เณรคนหนึ่งชื่อ กิมฮุย เขามีสมุดไดอารี่ที่มีบอกชื่อสถานีรถไฟทุกสถานี เขาจะคอยพากย์ว่าสถานีนี้ คูบัวนะ ต่อไปเป็นสถานีปากท่อนะ แล้วก็พากย์ไปจนถึงหัวหิน บ้านพักที่หัวหินเป็นเรือนไม้ 2 ชั้น ชั้นบนเป็นห้องนอนโล่งยาว เสื่อผืนหมอนใบ บ้านพักก็อยู่ใกล้กับบ้านเณรซาเลเซียนหัวหินไม่มีอะไรกั้นเดินถึงกันได้ เณรจะได้พักผ่อนที่นี่ 1 เดือนเต็ม ๆ เลย อาหารการกินก็ไม่ต้องห่วงครับมีโรงครัวอยู่ใกล้ ๆ ซิสเตอร์กับพวกแม่ครัวยกทีมกันมาทำอาหารให้เณร ตอนนั้นไม่รู้สึกอะไร เดี๋ยวนี้สิรู้สึกว่าเป็นหนี้บุญคุณพวกแม่ครัวพอสมควร

               การอาบน้ำที่นั่นเป็นประสบการณ์ใหม่ครับ มีบ่อน้ำใช้เชือกผูกกระป๋องตักน้ำขึ้นจากบ่อน้ำ น้ำในบ่อสีเหมือนชานมอ่อน ก็อาบกันได้ แถมยังใช้ซักเสื้อผ้าด้วย อยู่ที่หัวหินนี้ถือว่าเป็นเวลาพักผ่อนอิสระมากขึ้น ช่วงบ่ายจะได้ออกเที่ยว พวกเล็กกับพวกใหญ่แยกกันไป ส่วนมากก็จะให้เดินเข้าป่า หนังสติ๊กคนละอันเดินออกไปแถวทางรถไฟ มองไปเห็นภูเขาลูกหนึ่ง พวกเณรเรียกกันว่าเขาหัวล้าน คุณพ่ออธิการไม่ยอม ท่านบอกว่าให้เรียกว่าเขาสิบแสน ป่าละเมาะข้างทางรถไฟแย้ชุกชุม ไล่กวดตีไม่ทัน มันวิ่งลงรูเร็วมาก ต้องยิงด้วยหนังสติ๊กบางวันได้แย้มาตัวนึงส่งไปโรงครัวผัดเผ็ดได้ถ้วยนิดนึง คนยิงได้มีสิทธิ์กินก่อนแล้วจึงส่งให้เพื่อนซึ่งแทบไม่เหลืออะไรเลย

               ประสบการณ์อีกอย่างรุ่นพี่สอนให้ขุดตัวบึ้งที่อยู่ในรูมีใยปิดปากรู ตัวใหญ่คล้ายแมงมุม ได้มาก็เอาไปเผาไฟกิน มีต้นไม้ชนิดหนึ่งลูกสีแดง ๆ กินได้ รุ่นพี่บอกว่าลูกอิ่มดี ไม่รู้ว่าใครตั้งชื่อไว้ก็สนุกดีครับ บางวันครูเณรพาไปเดินชายหาดริมทะเล พวกเณรบอกว่าไปกินอากาศ พวกที่ได้มาทะเลครั้งแรกก็ตื่นเต้นกันไป แล้วก็เก็บเปลือกหอยสวย ๆ ไปดูเล่น วันดีคืนดีคุณพ่อธิการก็จะพาพวกเราไปให้รู้จักกับเณรซาเลเซียน ฟังมิสซาด้วยกันเลยถือโอกาสแสดงอะไรต่าง ๆ ให้พวกเราดู เช่น มีวงแตรเป่าอวดพวกเรา แล้วเขาก็มีเณรชาวอิตาเลียนโชว์ร้องเพลง มีคนหนึ่งชื่อ รุฟโฟ่ เสียงเหมือนนักร้องโอเปร่าอีกคนชื่อ สมิธ เล่นเปียโนแล้วร้องเพลงด้วยเพราะมาก จากนั้นเณร 2 ค่าย ก็รู้จักกัน วันดีคืนดีมีการนัดแข่งบอลกันก็ผลัดกันแพ้ชนะคนละหนสองหน

 

 

 

 

 

                มีอยู่ปีนึงคุณพ่ออธิการใจดีให้ไปเที่ยวต่อที่บ้านแสงอรุณ ห้วยยาง มีรถสิบล้อมารับเณรยืนกันไป 2 ชั่วโมง ทางตอนนั้นเป็นลูกรังฝุ่นตลบถึงวัดห้วยยางเป็นฝรั่งหัวแดงกันหมด ตอนนั้นคุณพ่อเกรสปีอยู่คอยดูแลพวกเรา พาเราเดินป่า มีต้นไม้ใหญ่ ๆ เยอะ อีกวันหนึ่งก็พาไปน้ำตกห้วยยาง มีข้าวผัดให้คนละห่อใบตองไว้กินตอนอยู่ที่น้ำตก น้ำตกมีหลายชั้นแต่ก็ถูกห้ามไม่ให้ขึ้นไปเพราะอันตรายเคยมีคนเจอหมีอยู่บนนั้น พวกเณรเล่นกันที่แอ่งน้ำข้างล่าง มีเณรคนหนึ่งชื่อโคม ทับปิง เดินอีท่าไหนไม่รู้ลื่นตกน้ำดังโครม ข้าวผัดแตกกระจาย ไข่ดาวจมน้ำหายไป เพื่อน ๆ เลยต้องบริจาคข้าวคนละ 2 ช้อน รอดตายไปมื้อนึง

             ทั้งหลายทั้งปวงเป็นส่วนหนึ่งของประสบการณ์ชีวิตในช่วงปิดเทอมซึ่งแต่ละปี ผู้ใหญ่ของบ้านเณรก็จะกำหนดวางแผนไว้ สมัยที่เราเป็นเณรก็ไม่รู้สึกอะไร มาตอนนี้ครับจึงรู้ว่าพวกผู้ใหญ่ของบ้านเณรต้องเหนื่อยต้องลำบากต้องทุ่มเทวางแผนให้พวกเณรได้พักผ่อนอย่างมีความสุขสนุกสบาย

 

ส่งท้ายก่อนจบ


             พระคุณเจ้าปัญญา กฤษเจริญ ท่านจะเน้นย้ำทุกครั้งที่มีการฉลองบ้านเณรว่า “พวกเราทุกคนเป็นหนี้บุญคุณบ้านเณรมากมาย” ยิ่งบรรดาศิษย์เก่าด้วยแล้วยิ่งต้องสำนึกไว้ตลอดชีวิต ก็ขอว่าเรื่องที่เขียนทั้งหมดนี้เพื่อตอบแทนบุญคุณที่ได้รับมากมายจากบ้านเณรครับ